วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561

Nike Vapromax

เจาะลึก! Nike Air Vapormax



แฟนๆ NIKE หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อรองเท้ารุ่นใหม่ของ NIKE ที่เพิ่งเปิดตัววางขายไปไม่นานนี้ ซึ่งก็คือ VaporMax กันมาบ้างแล้ว เจ้ารองเท้าคู่นี้มันมีความพิเศษอย่างไร วันนี้เราจะพามาเจาะลึกกันฮะ
เพื่อนๆ ยังจำหน้าตาของ Nike Air Max ปี 2016 กันได้อยู่ไหม และลองนึกภาพ Air Max ปี 2017 ในหัวดู ถ้านึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร เป็นเพราะอะไรน่ะเหรอ? Air Max นั้นกวาดตลาดทำเงินไปหลายล้านดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่มีการเปิดตัวในปี 1987 วันเวลาของยุคสุดฮอต เช่น Air Max 90, Air Max 95 ได้หมดไปแล้ว รุ่นหลังๆที่ออกมาก่อนหน้านี้ก็ไม่ติดตามากเท่าที่ควร ที่เคยโฆษณาว่าจะมีการปฏิวัติรูปแบบใหม่ต่างๆนาๆ ก็ดูไม่น่าตื่นเต้นเท่าไร แต่ปีนี้ไม่เหมือนปีก่อนๆ เพราะอะไรตามมาดูกัน
ถ้าจะมีรองเท้าสักรุ่นที่ทำให้ NIKE กลับมาเป็นรองเท้ายอดฮิตอันดับหนึ่งอีกครั้ง ก็คงจะเป็นเจ้า Nike Air Vapormax ($190) นี่ล่ะฮะ รูปทรงที่เย้ายวนใจนี้ถูกเปิดเผยครั้งแรกในงาน Nike’s Innovation Summit ปี 2016 ซึ่งวางขายกันไปสดๆร้อนๆ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งก็ประมาณ 30 ปีแล้วตั้งแต่การถือกำเนิดของ Air Max คู่แรก สำหรับรุ่น Vapormax นี้มีฟองอากาศอยู่ที่พื้นรองเท้าจำนวนมาก ตัวรองเท้าทำจากผ้าถักที่เรียกว่า Flyknit เป็นความผสมผสานที่ NIKE บอกว่านี่และคือ Air Max ที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุดระบบฟองอากาศนี้ช่วยแทนที่ความนุ่มสบายของพื้นโฟม พื้นชั้นกลางของรองเท้า (midsole) ถูกถอดออกไป เพื่อให้เท้าได้สัมผัสความนุ่มนั้นอย่างใกล้ชิด
ความแตกต่างก็คือทำให้สามารถคงคุณสมบัติของอากาศเอาไว้ได้ ทั้งช่วยปกป้องเท้า ช่วยเพิ่มความทนทาน ความยืดหยุ่น และสิ่งที่ยากจะหาได้นั้นก็คือ สัมผัสของอากาศ”--- Kathy Gomez (Nike VP of Innovation)

ในช่วงที่ NIKE มุ่งมั่นกับการคิดค้นเทคโนโลยีนี้ออกมานั้น ก็ยังแสดงให้เห็นได้ชัดถึงความใส่ใจที่มีต่อภาพลักษณ์ของตัวรองเท้า ถ้า ADIDAS มี Ultra boost, NIKE ก็มี VaporMax จะใช้ในอวกาศก็ได้ ใช้เล่นกีฬาก็ได้ หรือจะใส่เดินเที่ยวก็เหมาะสุดๆ และคอลเลกชั่นที่ออกวางจำหน่ายไปเมื่อไม่นานมานี้ ก็คือการรวมตัวของ Nike VaporMax กับ Comme des Garçons ที่มีทั้งความเป็นสปอร์ตและสไตล์อยู่ด้วยกัน Mark Parker (Nike CEO) ได้เคยอธิบายถึงการออกแบบ VaporMax นี้ว่าเป็นรองเท้าที่อยู่ตรงกลางระหว่างความเป็นนักวิ่งตัวยงกับผู้ที่ชื่นชอบการแต่งกายแบบขาวดำ
“รองเท้าคู่นี้เป็นตัวอย่างของนวัตกรรมที่มีความผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีขั้นสูง สมรรถภาพในการใช้งาน และความงามอย่างมีศิลปะ” -- Mark Parker (Nike CEO)
Vapormax ไม่ได้มีดีแค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ส่วนพื้นรองเท้านั้นถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน ใช้เวลาร่วม 7 ปีในการทดสอบสมรรถภาพอย่างเข้มงวด มีนักกีฬากว่า 350 คนเคยลองใส่มัน และทดสอบวิ่งรวมกันมากกว่า 126,000 ไมล์มาแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นรองเท้ารุ่นที่ผ่านการทดสอบมามากที่สุดของ NIKE เลยก็ว่าได้
นิยามของ VaporMax คือ “การวิ่งบนอากาศ” เวลาสวมใส่รองเท้าคู่นี้จะให้สัมผัสถึงการเด้งของพื้นรองเท้า โดยเฉพาะช่วงส้นเท้าซึ่งแตกต่างจาก Air Max รุ่นอื่นๆ ที่ผ่านมา สามารถทดสอบได้โดยการกระโดดเบาๆ ฟองอากาศขนาดใหญ่ของพื้นรองเท้าอาจให้ความรู้สึกถึงความเปราะบาง จนเรากลัวว่ามันจะแตกรึเปล่า แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น เพราะเจ้า VaporMax ผ่านการทดสอบบนทางลูกรังที่ Colorado มาแล้ว!
ในส่วนของผ้าถักด้านบนจะให้สัมผัสนุ่มและอบอุ่น ไม่รัดแน่นจนเกินไป คล้ายคลึงกับรุ่น Flyknit Lunar แต่มีความยืดหยุ่นมากกว่ารุ่นทั่วไปอย่าง Flyknit Racer การออกแบบในเรื่องของโทนสี ก่อนหน้านี้ Air Max จะเน้นความโดดเด่นจากสีสันที่ฉูดฉาด ไม่ว่าจะเป็น Air Max 1, Air Max 90’s แต่ตัว VaporMax นั้นจะเน้นในความเรียบง่าย ตามคอนเซ็ปต์ สัมผัสของอากาศ จึงมาในสีโทนขาวเทาเหมือนก้อนเมฆบนท้องฟ้า ซึ่งข้อดีของตัวรองเท้าที่เป็นผ้าถักทำให้สามารถผสมผสานสีต่างๆเข้ากันได้อย่างกลมกลืนและซับซ้อน ไม่สามารถพิจารณาได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว ล้ำลึกจริงๆ ซึ่งคอลเลกชั่นที่เพิ่งเปิดตัวไปมี 3 สี ได้แก่ Pure Platinum, Triple Blackและ Grey/Red

อ้างอิง


ประวัติภาษาอังกฤษ


ประวัติความเป็นมาของภาษาอังฤษ

          ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเจอร์แมนิคตะวันตก ที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรแองโกลแซกซอนของอังกฤษและแพร่กระจายเข้าไปในดินแดนซึ่งปัจจุบันคือสก็อตแลนด์ทางตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรยุคกลางของเผ่านอร์ธัมเบรีย
          ซึ่งนอกจากภาษาแล้วยังมีเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม ซึ่งแผ่กระจายออกไปในยุคล่าอาณานิคมอังกฤษช่วงในช่วงศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ภาษาอังกฤษได้แพร่กระจายออกไปทั่วโลกและเป็นภาษาที่สื่อสารกันทั่วโลก ซึ่งหลายๆประเทศก็เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง และในสหภาพยุโรปเองก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ รวมทั้งประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษด้วย ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารมากที่สุดในโลกเป็นอันดับสาม รองจากจีนกลางและสเปน
         ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเจอร์แมนิคตะวันตก (West Germanic Language) ที่มีต้นกำเนิดมาจากภาษาถิ่นแซกซอนโบราณและแองโกลฟริเชียน (Anglo-Frisian) ซึ่งถูกนำเข้ามายังดินแดนอังกฤษโดยชาวเจอร์แมนิค ที่ตั้งรกรากกระจัดกระจายในดินแดนเยอมันนีตะวันตก เดนมาร์ก และเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบัน ว่ากันว่าดินแดนอังกฤษที่ยึดครองโดยโรมันนั้น ผู้คนใช้ภาษาเซลติค (Celtic language) เป็นภาษาสื่อสารซึ่งไดัรับอิทธิพลจากภาษาลาติน นับรวมเป็นเวลา 400 ปีในการยึดครอง

หนึ่งในเผ่าเจอร์แมนิคคือ ชาวแองเกิ้ลส (Angles) ซึ่งบาทหลวง บีด (Bede) เชื่อว่าตั้งถิ่นฐานทั่วไปในดินแดนอังกฤษ คำว่า England (มาจากคำว่า Engla Land) แปลว่าดินแดนของชาวแองเกิลส์ และคำว่า English มาจากชื่อของเผ่านี้
         เดิมทีภาษาอังกฤษโบราณเกิดจากการผสมปนเปกันของภาษาถิ่นในราชอาณาจักรแองโกลแซกซอนของอังกฤษ แต่ภาษาอังกฤษก็ได้รับอิทธิพลจากการรุกราน 2 ครั้งด้วยกันคือ ครั้งแรกจากการรุกรานของชนเผ่าที่พูดภาษาเจอร์แมนิคเหนือ (North Germanic Language) และยึดครองดินแดนตอนเหนือของเกาะอังกฤษในศตวรรษที่ 8 และ 9 ครั้งที่สองโดยชาวนอร์แมนโบราณ (Old Norman) ที่พูดภาษาโรมานซ์ (Romance Language) ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนแองโกลนอร์แมน และ แองโกลเฟร็นช (Anglo-French) สองเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่อาศัยการยืมคำมากกว่าที่จะสร้างคำใหม่
ภาษาอังกฤษยุคใหม่ (Modern English) นับจากปี 1550 เมื่ออังกฤษกลายเป็นนักล่าอาณานิคม ภาษาอังกฤษก็ได้ถูกนำมาใช้เพื่อการสื่อสารในประเทศภายใต้อาณานิคมของอังกฤษ ถึงแม้ว่าในระยะหลังๆ ที่ประเทศเหล่านั้นเป็นประเทศอิสระแล้วก็ตาม แต่ภาษาอังกฤษก็ยังคงเป็นภาษาราชการอยู่ เช่น อินเดีย แอฟริกา ออสเตรเลีย เป็นต้น
เนื่องจากการหลอมรวมหลายๆภาษาในยุโรป และผ่านหลายยุคหลายสมัยนี่เอง ทำให้ภาษาอังกฤษมีคำศัพท์มากเกินกว่า 250,000 คำ โดยไม่รวมศัพท์เทคนิค หรือศัพท์แสลง



อ้างอิง

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2561

คำศัพท์สไตล์ UK & US

เขียนต่างกัน แต่ความหมายเหมือนกัน 

        เชื่อว่าปัญหาหนึ่งในการเรียนภาษาอังกฤษของเพื่อนๆก็คือ การที่ภาษาอังกฤษนั้นมีสองแบบ นั่นก็คือ British English และ American English ซึ่งเพื่อนๆหลายคนก็งงกับคำศัพท์ และสำเนียงที่ไม่เหมือนกันนี้ทำให้ภาษาอังกฤษนั้นยากไปอีกเท่าตัว วันนี้เราเลยยกตัวอย่าง 100 คำศัพท์สไตล์บริติชและอเมริกัน ที่ต่างกันแต่ความหมายเหมือนกัน


American EnglishBritish Englishคำแปล
alumnusgraduateผู้สำเร็จการศึกษาแล้ว
antennaaerialเสาอากาศ
anyplaceanywhereทุกแห่ง
attorneybarrister, solicitorทนายความ
baby carriagepramรถเข็นเด็ก
baggageluggageหีบห่อ
barpubร้านเหล้า
billbank noteธนบัตร
billboardhoardingป้ายโฆษณา
blow-outpunctureทุบทำลาย
broilergrillย่าง
cabtaxiรถยนต์รับจ้าง
cantinกระป๋อง
candysweetsลูกกวาด
checkerdraughtหมากรุก
closetwardrobeตู้เสื้อผ้า
collect callreverse chargeโทรศัพท์แบบเรียกเก็บเงินปลายทาง
cookiebiscuitขนมปังกรอบ
cornmaizeข้าวโพด
crazymadบ้าคลั่ง
cribcotโรงเลี้ยงสัตว์
cuffturn upปลายขากางเกง
dessertsweetของหวาน
diapernappyผ้าอ้อม
dish-toweltea-towelผ้าเช็ดจานช้อนถ้วย
divided highwaydual carriagewayถนน 2 ฝั่ง ที่มีเกาะกลางถนน
drapecurtainผ้าม่าน
drug storechemist’sร้านขายยา
elevatorliftลิฟท์
engineer (train)engine driverคนขับรถไฟ
eraserrubberยางลบ
facultystaff (of a university)เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย
fallautumnฤดูใบไม้ร่วง
faucettapก๊อกน้ำ
fenderwingบังโคลนรถยนต์
first floorground floorชั้นล่าง
flashlighttorchไฟส่องทาง
freewaymotorwayถนนใหญ่สำหรับรถใช้ความเร็วสูง
french frieschipsมันฝรั่งทอด
garbage candustbin, rubbish-binถังขยะ
garbage collectordustmanคนเก็บขยะ
garbage, trashrubbishขยะ
gasolinepetrolน้ำมันรถยนต์
gear-shiftgear-leverเปลี่ยนเกียร์รถยนต์
generatordynamoเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
highwaymain roadทางหลวง
hobotrampคนจรจัด
hoodbonnetกระโปรงหน้ารถยนต์
intermissionintervalเวลาพัก
intersectioncrossroadsทางแยก
janitorcaretakerภารโรง
keroseneparaffinน้ำมันก๊าด
linequeueแถว
liquor storeoff-licenseร้านขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
madangryโกรธ
mailpostจดหมาย
mailboxpostboxกล่องใส่จดหมาย
mailman, mail carrierpostmanบุรุษไปรษณีย์
mathmathsคณิตศาสตร์
meannasty, viciousต่ำทราม
motorengineเครื่องยนต์
moviefilmภาพยนตร์
mufflersilencerหม้อพักของรถยนต์
noplacenowhereไม่มีที่ไหน
oil-pansumpอ่างใส่น้ำมันเครื่องยนต์
one-waysingle (ticket)ตั๋วโดยสารชนิดไปเที่ยวเดียว
optometristopticianช่างทำแว่นตา
overpassflyoverสะพานลอย
pacifierdummyจุกนมปลอมสำหรับเด็ก
pantstrousersกางเกง
pantyhosetightsถุงน่อง
patrolmanconstableพลตำรวจ
pavementroad surfaceผิวถนน
peekpeepแอบมอง
pitcherjugเหยือก, คนโท
pocket-book, pursehandbagกระเป๋าใส่สตางค์ใบเล็กๆ
potato chipspotato crispsมันฝรั่งทอด
private hospitalnursing homeบ้านพักผู้ป่วย
railroadrailwayทางรถไฟ
raincoatmackintoshเสื้อกันฝน
raiserise (in salary)ขึ้นเงินเดือน
realtorestate agentนายหน้าซื้อขายที่ดิน
restroompublic toiletห้องน้ำสาธารณะ
round tripreturn (ticket)ตั๋วโดยสารชนิดไปกลับ
rubbercondomถุงยางอนามัย
rubberwellington bootรองเท้าบู๊ทกันน้ำ
scheduletimetableตางรางสอน, ตารางเวลา
scotch tapesellotapeแถบยางพลาสติกมีกาวสำหรับรัดของ
sedansaloon (car)รถยนต์นั่งสี่ประตู
semestertermภาคการเรียน
shortsunderpantsกางเกงขาสั้น
shoulder (of road)verge (of road)ไหล่ถนน, ขอบถนน
sickillป่วย
sidewalkpavementทางเท้า
sneakersgym shoesรองเท้าผ้าใบพื้นยาง สำหรับเล่นกีฬา
someplacesomewhereบางที่
spigottap (outdoors)จุกอุดรูถังน้ำ
spool of threadreel of cottonหลอดม้วนด้าย
stingymeanใจแคบ, ขี้เหนียว
storeshopร้าน
antennaaerialเสาอากาศ

ทำไมสำเนียงบริติชแบบบ้าน ๆ ถึงฟังยากจัง ชาวลอนดอนมาอธิบายเอง



อ้างอิง

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2561

Phonics

โฟนิคส์ (Phonics) คืออะไร 
          โฟนิคส์ คือวิธีการเรียนอ่านเขียนและออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้หลักการถอดรหัสเสียงและการผสมเสียงตัวอักษร a ถึง z ทั้ง 26 ตัว ผู้เรียนจะต้องเข้าใจเสียงของตัวอักษรต่างๆ และออกเสียงเหล่านั้นให้ได้อย่างถูกต้องจึงจะสามารถผสมเสียงออกมาเป็นคำได้ ยกตัวอย่างเช่น การสะกดคำว่า cat ในสมัยเราๆ จะท่องกันว่า 
ซี-เอ-ที แคท แมว ซึ่งยากที่จะเข้าใจว่าทำไม ซี-เอ-ที ถึงกลายเป็นแคทไปได้ เพราะการท่องแบบนี้ไม่ได้ใช้หลักการผสมเสียงแต่เป็นการท่องจำการสะกดคำเสียมากกว่าจากตัวอย่างนี้ ถ้าเรียนตามหลักโฟนิคส์ จะสอนให้รู้จักตัว “c” จากเสียงของมันคือเสียง “ค” (ออกเสียงเคอะ เบาๆ ในลำคอ) ตัว “a” เป็นเสียง “แอะ” และตัว “t” เป็นเสียง “ท” (ออกเสียง เทอะ เบาๆ ใช้ปลายลิ้นกระทบฟันหน้าบน) และผสมเสียงกันเป็น “ค-แอะ-ท แคท” 
(ลองออกเสียง ค-แอะ-ท ซ้ำๆ เร็วๆ จะพบว่าสุดท้ายจะออกเสียงเป็น “แคท”) หลักการถอดรหัสเสียง และผสมเสียงแบบนี้แหละค่ะที่เรียกว่าโฟนิคส์นั่นเอง ซึ่งผู้เรียนจะต้องฝึกผสมเสียงพยัญชนะ สระต่างๆ ที่หลากหลายจนคล่องแคล่วโดยใช้หลักโฟนิคส์นี้ค่ะ
  • แล้วคำที่ไม่ได้เป็นไปตามหลักโฟนิคส์ล่ะ มีไหม หลักโฟนิคส์ใช้อ่านหรือสะกดคำต่างๆ ได้เป็นส่วนใหญ่ แต่แน่นอนค่ะมีคำบางคำที่อ่านในรูปแบบเฉพาะที่ไม่ใช่ตามหลักโฟนิคส์ ซึ่งเราจะเรียกคำเหล่านี้ว่า “คำพิเศษ” หรือ “Special words” เช่น คำว่า watch หากอ่านตามหลักโฟนิคส์อ่านว่า ว-แอะ-ท-ช แวทช แต่จริงๆ แล้วอ่านว่า วอทช เพราะตัว “a” ที่ปกติเป็นเสียง “แอะ” พออยู่ในคำนี้ออกเป็นเสียง “เอาะ” เป็นต้น ซึ่งคำพิเศษนี้เด็กๆ จะได้เจอเมื่อเขาอ่านเยอะ อ่านมาก และฝึกสังเกตคำต่างๆ หากคุณครูหรือคุณพ่อคุณแม่ช่วยแนะนำด้วยเมื่อเด็กเจอคำพิเศษเหล่านี้ก็จะยิ่งดีค่ะ
  • เรียนแล้วได้อะไร การเรียนโฟนิคส์จะช่วยให้เด็กๆ ออกเสียงได้ถูกต้อง ทำให้พวกเขาสื่อสารภาษาอังกฤษได้ชัดเจน และสามารถอ่านเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสามารถสะกดคำศัพท์ต่างๆ ได้ด้วยตัวเองอย่างคล่องแคล่วจากการรู้จักเสียงของตัวอักษรและเข้าใจหลักการผสมเสียง แม้ในช่วงแรกการเรียนแบบโฟนิคส์จะดูช้ากว่าการเรียนแบบท่องจำมาก เพราะเด็กต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจเสียงและหลักการผสมคำจากง่ายไปยาก ต้องฝึกซ้ำๆ เพื่อให้จำได้ และมีบทศึกษามากมายที่ยืนยันว่าเด็กที่เรียนการอ่านเขียนแบบนี้จะสามารถเรียนภาษาอังกฤษได้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่านักเรียนทั่วไป และมีความแตกฉานทางภาษา รักการอ่าน การค้นคว้าหาความรู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับตัวเขาเองในอนาคต
  • เรียนโฟนิคส์แล้วจะนำมาใช้ทันกับหลักสูตรแบบดั้งเดิมของโรงเรียนทั่วไปหรือเปล่า การเรียนโฟนิคส์นั้น จะเรียนแบบค่อยเป็นค่อยไป จึงจะดูช้ากว่าการเรียนแบบท่องจำ เพราะเด็กๆ ไม่ว่าจะโตแค่ไหน เรียนระดับไหนก็ต้องมาเริ่มที่เสียง a b c … แล้วค่อยๆ หัดผสมเสียงจากง่ายก่อน ดังนั้น จะคาดหวังให้ใช้หลักโฟนิคส์สะกดคำยากๆ ได้เลยตามที่โรงเรียนให้การบ้านมาในช่วงแรกของการเรียนโฟนิคส์ก็อาจดูยากเกินไปสำหรับลูก เช่น ลูกเพิ่งเรียนการผสมเสียงสระตัว “a” เช่นคำว่า bat, hat, rat, mat หากจะให้สะกดคำว่า January โดยหลักโฟนิคส์เลย คงยังทำไม่ได้ แต่ในระยะยาวเมื่อลูกเรียนจบและได้มีการฝึกอ่านอย่างสม่ำเสมอ แน่นอนว่าการเรียนโฟนิคส์จะช่วยส่งเสริมให้การอ่าน การสะกดคำต่างๆ เป็นไปได้ง่ายขึ้น และเข้าใจหลักการออกเสียง การอ่านเขียนอย่างแท้จริง จึงมีบทวิจัยออกมาหลายสำนักว่าหลักโฟนิคส์ช่วยให้เรียนภาษาอังกฤษได้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่านักเรียนทั่วไปถึง 2-3 ปี
  • หลักโฟนิคส์นี้เป็นการเรียนแบบใหม่ที่เพิ่งค้นพบหรือ หลักโฟนิคส์ เป็นหลักการอ่านเขียนที่เรียนกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว แต่เมื่อราว 20-40 ปีที่ผ่านมาได้เลือนหายไป เนื่องจากมีทฤษฎีใหม่ที่บอกว่าการอ่านแบบโฟนิคส์นั้นยุ่งยาก กว่าจะแตกเสียง ผสมเสียง จนอ่านเป็นคำนั้นช้าไม่ทันใจ หันมาใช้วิธีเรียนแบบจำคำศัพท์เป็นคำๆ ที่เรียกว่า Whole Language ดีกว่าเพราะเร็วกว่ากันเยอะ โรงเรียนในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย จึงเลิกสอนโฟนิคส์ไปตามๆ กัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปีกลับพบว่าความสามารถในการอ่านเขียนของประชาชนต่ำลง เพราะคนเรานั้นจดจำคำศัพท์ได้จำกัด และการไม่รู้หลักการสะกดนั้นก็ทำให้อ่านได้ไม่คล่อง เมื่อเห็นคำยากหรือคำใหม่ที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่อยากอ่าน ทำให้การอ่านค้นคว้าความรู้ต่างๆ ลดลงตามไปด้วย จึงมีฟื้นฟูการเรียนโฟนิคส์ให้นำกลับมาสอนอีกครั้งเพื่อให้เด็กๆ เข้าใจหลักการอ่านเขียนอย่างแท้จริง
  •            ดิฉันเอง ช่วงที่พัฒนาหลักสูตรโฟนิคส์สำหรับเด็กไทยนั้น ได้เดินทางไปหลายแห่งเพื่อศึกษาแนว        การสอนของต่างประเทศ และได้พบโรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่งในประเทศออสเตรเลียที่ยึดมั่นใช้การสอน        ตามหลักโฟนิคส์มาตลอดหลายสิบปีด้วยความเชื่อมั่นและปรากฏว่านักเรียนของโรงเรียนแห่งนี้สามารถ        กวาดรางวัลการอ่าน การออกเสียง การเขียนเรียงความทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศได้จนมี
        ชื่อเสียง   ไปทั่วทำให้เชื่อได้เลยว่าหลักโฟนิคส์เป็นประโยชน์สำหรับเด็กๆ อย่างแท้จริง
  • ผลจากการเรียนโฟนิคส์ของเด็กไทยเป็นอย่างไรบ้าง จากประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาที่เราได้นำหลักสูตรโฟนิคส์ที่เรียนด้วยความสนุกสนานเข้าสอนเด็กๆ ในโรงเรียนต่างๆ หลายพันคน ปรากฏว่าได้ผลดีมาก เด็กๆ แม้แต่ระดับอนุบาลที่ได้เรียน ก็สนุกที่จะออกเสียงตัวอักษรต่างๆ 
  • ภาคภูมิใจที่ผสมคำได้ด้วยตนเอง และเมื่อกลับบ้านก็ยังชอบที่จะอ่านป้าย อ่านและสะกดคำต่างๆ ตามหลักที่ได้เรียนมา จะผิดบ้างถูกบ้างก็ไม่เป็นไรแต่เขาก็สนุกที่จะลองใช้ความรู้ที่เรียนมาไปกับ
  • คำรอบๆ ตัวที่หลากหลาย ซึ่งดิฉันคิดว่าเป็นการเริ่มต้นสร้างทัศนคติที่ดีในการออกเสียงและการอ่านเขียนตามหลักที่ถูกต้อง และจะช่วยพัฒนาการออกเสียงและการอ่านเขียนของพวกเขาอย่างมาก
  • ในระยะยาว และสามารถต่อยอดไปสู่ทักษะอื่นๆ ที่สำคัญในอนาคต เช่น การเขียนเรียงความ 
  • เขียนบทความ การจับประเด็น จับใจความ คิดวิเคราะห์เนื้อหาอย่างเป็นเหตุผลด้วย
  • อ้างอิง
http://taamkru.com/th/%E0%B9%82%E0%B8%9F%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/